เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ พ.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาครูบาอาจารย์ท่านเป็นธรรมนะ ท่านบอก ธรรมเป็นใหญ่ ถ้าธรรมเป็นใหญ่ มันจะเรียบง่าย สิ่งใดมาถึง เวลาเรามาทอดกฐิน กฐินมันก็แค่วินัยกรรม มันเป็นวินัยกรรม มันเป็นการทอดกฐิน แต่เราไม่ไปตื่นกับมันไง ถ้าไปตื่นกับมัน เขาจะมีมหรสพสมโภช เขาจะมีการฉลองกันไป ไอ้นั่นเป็นเรื่องโลกๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องธรรม ทำอะไรให้มันเรียบง่าย เราอยากให้มันเรียบง่าย ไม่มีสิ่งใดเลย

เราอยู่บ้านตาด สมัยอยู่กับครูบาอาจารย์นะ วันกฐินก็เหมือนวันปกติ แต่มีคนมาถวายผ้ากฐินเท่านั้นเอง ท่านทำให้มันเรียบง่าย ท่านทำให้มันเป็นตัวอย่างไง ท่านทำให้เป็นตัวอย่าง เราต้องการอย่างนั้น

ฉะนั้น เพียงแต่ว่าเราเป็นบัณฑิตใช่ไหม บัณฑิต คนที่คิดดีใฝ่ดี จิตใจที่เป็นดี เขามาก็อำนวยความสะดวกให้เขา ถ้าอำนวยความสะดวกนะ กฐินปีแรกๆ เราเห็นนั่งอยู่นี่ เราเห็นประจำ เวลาคนเข้ามานะ “รู้ไหมว่าฉันนี่ลูกศิษย์ใกล้ชิดนะ” คือมันจะเอารถเข้ามาจอดใกล้ๆ แล้วเราก็ยืนดูอยู่ ใครๆ ก็ แหม! ศิษย์เอกทั้งนั้นแหละ

ยิ่งถ้าเป็นศิษย์เอกนะ เขายิ่งจะไม่ให้มีการกระทบกระทั่ง เขาจะทำอะไรสิ่งใดเพื่อให้มันเรียบง่าย เพื่อให้งานมันสะดวก แต่ต่างคนต่างว่า ต่างคนต่างมีทิฏฐิ ต่างคนต่างว่ามีความสำคัญ ถ้ามีความสำคัญ งานมันไม่สะดวกหรอก คนที่มีความสำคัญคือคนที่สูงสุดสู่สามัญไง คนที่มีความสำคัญคือน้อมลงต่ำ

เราอยู่บ้านตาดนะ เวลาหลวงตาท่านออกไปตอนบ่าย ท่านออกไปตรวจวัด เวลาโยมเขามาวัดนะ มาถึงมาเจอหลวงตานะ “พระมหาบัวอยู่ไหม”

ท่านบอกว่า “อยู่ข้างใน”

ไอ้นั่นก็เข้าไปเลยนะ เข้ามาข้างใน เข้ามารอ มารออยู่ข้างใน เขาก็จัดอาสนะไว้ให้ เวลามานั่งก็องค์นั้นน่ะมานั่ง เห็นไหม ใครๆ ก็มาถามท่าน “พระมหาบัวอยู่ไหม” ท่านบอกว่า “อยู่ข้างใน อยู่ข้างใน” นี่ท่านไม่มีสิ่งใดคาหัวใจ มันเป็นเรื่องปกติไง

นี่ก็เหมือนกัน เราทำอะไรเราอยากเป็นอย่างนั้น อยากให้มันเรียบง่าย ถ้าคำว่า “เรียบง่าย” คำว่า “เรียบง่ายของเรา” แต่เรียบง่ายแล้วมันต้องอำนวยความสะดวกให้เขา ทำอะไรให้เขาให้เป็นประโยชน์ไง ถ้ามันเป็นประโยชน์ มันเป็นการยืนยันกันจากธรรมในหัวใจ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เขาว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเอง แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังกราบธรรมอยู่

กราบธรรมคือกราบสัจธรรม ธรรมเหนือโลกนี่ไง ถ้าธรรมเหนือโลกอยู่ในหัวใจดวงใดแล้ว หัวใจดวงนั้นประเสริฐมาก ประเสริฐมาก ดูสิ หลวงตาท่านบอกว่าใจของท่านมันเข้าได้ทุกเม็ดหินเม็ดทราย คือมันไปได้หมด ไม่มีสูงไม่มีต่ำ มันเสมอภาคไปหมดเลย ถ้าใจเป็นธรรมมันไม่มีสูงไม่มีต่ำ แต่ถ้าเราจะมาสูงมาต่ำ มาสูงมาต่ำอะไร ถ้ามาสูงมาต่ำ เราว่าเป็นงาน พอเป็นงานเข้าไปแล้ว งานนี้มันเป็นความสำคัญ ความสำคัญ พอมีความสำคัญ เราไปแล้ว

เสมอเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา

ต่ำกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา

สูงกว่าเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา

เราไม่สำคัญไง มันเป็นวินัยกรรม มันเป็นสิ่งที่เราจะมาแสวงหาบุญกุศลกัน ถ้าทำบุญกุศล วันนี้สุกดิบ วันสุกดิบคือวันเราเตรียมงานของเรา จะไม่เตรียมสิ่งใดเลยมันก็ดูดายเกินไปใช่ไหม คนเรามันเป็นคนนี่ คนเราเป็นคน เราก็ต้องมีสติมีปัญญา จะมีกฐิน เราก็เตรียมงานของเรา แต่เตรียมให้มันกรรมฐาน เตรียมให้แบบมีครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านทำ มันเป็นเรื่องปกติ เราไม่ทำให้อึกทึกครึกโครม จะไม่ทำสิ่งใดให้มันกระทบกระเทือนกัน ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แล้วถ้าหัวใจท่านมีหลักจริงนะ มันแสดงออก ถ้าหัวใจคนที่มีหลัก เว้นแต่หัวใจที่ไม่มีหลัก หัวใจไม่มีหลักนะ เห่อเหิม พอเห่อเหิมขึ้นมา ว่าวเชือกขาด พอว่าวเชือกขาด เราเล่นว่าวอยู่ เรามีเชือกอยู่ เราคุมได้หมดแหละ ถ้าว่าวเชือกขาด มันไป

นี่ก็เหมือนกัน สำคัญตนแล้วเห่อเหิม แล้วไปเลย พอไปเลยแล้วนะ แล้วศาสนาอยู่ที่ไหนน่ะ แล้วทุกคนก็บอกว่า พระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเลิศที่สุด เลิศที่สุดแล้วทำไมบริษัท ๔ ทำไมมีผลกระทบกระเทือนกันอย่างนั้นล่ะ

เราไม่ทำอย่างนั้น เราไม่ทำอย่างนั้น ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น เรามีสติปัญญาของเรา ถ้ามีสติปัญญาของเรา เรารู้ ผู้ที่มีคุณธรรมจะเข้าสังคมไหนก็ได้ หรือทำสิ่งใดก็ได้ เพราะในหัวใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ เราทำเพื่อธรรมและวินัย ถ้าเราทำเพื่อธรรมและวินัย แต่เวลาทำก็ทำตามที่ธรรมและวินัยบัญญัติไว้เท่านั้นแหละ บัญญัติให้ถึงพระจำพรรษาแล้ว ออกพรรษาแล้วให้มีกฐิน มีการทอดกฐินเพื่อจะเปลี่ยนผ้าไตรเท่านั้นเอง เขาทำอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วเราก็ทำเพื่อหัวใจของเรา ทำเพื่อ เวลาถึงที่สุดแล้วก็ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา เวลาทำปัญญาของเรา แต่มันเป็นวัฒนธรรมประเพณีไปไง เวลาบวชแล้วถ้าใครไม่รับกฐินถือว่าเป็นคนที่จับจด ต้องบวชครบ ๓ เดือน รับกฐิน รับกฐินก็เลยกลายเป็นว่าถือศักดิ์สิทธิ์ไปเลย

แต่ความเป็นจริง เราทำเพื่อเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือเคารพธรรมวินัย เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพุทธานุญาตเอาไว้เองว่า เวลาพระออกพรรษาแล้วให้ทำ เราทำเพื่อเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เท่ากับเราทำเคารพพุทธะในใจของเรา พุทธะ ความรู้สึกในใจของเรา เราทำ เคารพที่นี่

แต่ถ้าเราทิ้งหัวใจของเรา เราไปอยู่ที่ข้างนอก เปลือกข้างนอก เวลาคนมามันทิฏฐิไม่เหมือนกัน เขาต้องการอย่างนั้น เราต้องการอย่างนี้ มีประเด็นแล้ว แต่เราต้องการอย่างนี้ เขาต้องการอย่างนั้น ก็อะลุ่มอล่วยกันไป พอเขาผ่านไปแล้วนะ เราก็ทำของเราให้เข้าที่ ให้เขาผ่านไปก่อน ให้เขาได้แสดงความสามารถของเขาเต็มที่เลย พอเขาแสดงของเขาแล้วเขาภูมิใจ เขาภูมิใจของเขา ปล่อยเขาไป แล้วเรามาทำทีหลัง เราทำแล้วไม่กระทบกระเทือน เขาจะแสดงความสามารถขนาดไหนก็เรื่องของเขา เราทำเสร็จแล้ว เขาไปแล้ว แต่เราอยู่ เราเป็นเจ้าภาพ เราอยู่ที่นี่ เราจะรักษาของเรา ถ้ารักษาที่นี่ เพื่อประโยชน์กับเรา ใครจะแสดงออกขนาดไหนเรื่องของเขา แต่เรื่องของเรานะ เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าทำประโยชน์ เราฝึกอย่างนี้ ฝึกฝนใจของเรา ฝึกฝนให้มันเข้าได้กับทุกสรรพสิ่ง

เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน อยู่คนเดียวก็อยู่ได้ พออยู่คนเดียวให้ระวังความคิดของตัว เวลาอยู่กับหมู่คณะมันกระทบกระเทือนกันไงเวลาอยู่กัน อยู่คนเดียวก็อยู่ได้ อยู่คนเดียวก็ให้ระวังความคิด ถ้าอยู่กับคนอื่น ให้ระวังให้ระวังอายตนะมันกระทบกัน ถ้ามันกระทบกัน เราดูแลตรงนี้ อยู่ในหมู่คณะแล้วถึงเวลาเราหลีกเร้นไป เราก็ไปภาวนาของเรา เราดูแลใจของเราอย่างนี้ ทำเพื่อประโยชน์กับเราอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพุทธานุญาตนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา นี่เป็นประโยชน์กับเรา

มันเป็นกาลเป็นเวลา เป็นฤดูกาล ฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป คนก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป ดูสิ ฤดูกาลที่เป็นฤดูกาลต่างๆ ผลไม้มันออกแต่ละฤดูกาล ฤดูกาลไหน ผลไม้มันมาก เราก็ได้ใช้ประโยชน์จากมัน ถ้ามันไม่มี เราก็ใช้ประโยชน์จากอย่างอื่น ฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลงของมันตลอดไป ถ้าฤดูกาลเปลี่ยนแปลงตลอดไป เราทำตัวของเราให้เข้ากับฤดูกาลได้ เราทำตัวของเราเข้ากับสรรพสิ่งนี้ได้ ถ้าเข้ากับสรรพสิ่งนี้ได้ สิ่งใดที่มันผ่านไปแล้วเราก็ไม่เสียใจเลย

วันคืนล่วงไปๆ ปีแล้วปีเล่าๆ เราก็ทำของเรา ทำแล้วทำเล่าๆ ทำแล้วมันจะไปไหน มันจะเตลิดเปิดเปิง ปีนี้ทำได้ขนาดนี้ ปีหน้าจะทำให้มากกว่านั้น มันไม่ใช่ ปีนี้ทำได้ขนาดนั้น ปีหน้าต่อไปทำให้เรียบง่ายยิ่งกว่านี้ ปีหน้าต่อไปทำให้มันเรียบง่าย ทำสิ่งที่เรียบง่าย สิ่งที่เรียบง่าย หรูแต่เรียบ มันหรูที่ไหนล่ะ หรูที่ว่าจิตใจมันทรงธรรมทรงวินัยไง มันหรูที่หัวใจมันไม่สั่นไหวไปกับโลกไง โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศไง เห็นเขาสรรเสริญนินทาขึ้นมา โอ้โฮ! ลอยไปจรดขอบฟ้า

เราไม่ต้องการอย่างนั้น เราไม่ต้องการอย่างนั้น เราต้องการหัวใจของสัตว์โลกที่มีจุดยืน หัวใจของสัตว์โลกที่มีจุดยืน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ “มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง กล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมนิพพาน” นี่ไง เราต้องการตรงนี้ต่างหากล่ะ เราสามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วง คำติฉินนินทา การเสียดสีของสังคม สังคมเสียดสีนินทาขนาดไหน มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้นแหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียบง่าย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เรียบง่าย เรียบง่ายมาก ผู้ทรงศีล เช้าออกภิกขาจารเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพมา ผู้ที่ทำภัตกิจเสร็จแล้วเข้าสู่โคนไม้ ผู้ที่เข้าฌานสมาบัติได้เข้าฌานสมาบัติ ผู้ที่มีปัญญาได้ใช้ปัญญาไป รื้อค้นในหัวใจของตน ถ้ารื้อค้นในหัวใจของตน

โรงงานสำคัญคือหัวใจของสัตว์โลก แล้วหัวใจของสัตว์โลกมีมรรคมีผลขึ้นมา ทำลายอวิชชาในโรงงานอันนั้น จิตใจที่มันพ้นจากกิเลสไปแล้วมันมีคุณค่าที่นั่น มันมีวัตถุสิ่งใดมีค่าไปกว่านั้นล่ะ มันมีวัตถุสิ่งใดมีค่าไปกว่านั้น สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือความรู้สึกของคน ความรู้สึกคือจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ความรู้สึกของคนมันมีค่าที่สุด แต่เรามองไม่เห็นคุณค่านี้ไง เวลาค่าน้ำใจๆ ครูบาอาจารย์มีน้ำใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมตตาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครอบไป ๓ โลกธาตุ คุ้มครองดูแลพวกเราไง

ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เรากำลังจะปฏิบัติธรรมเป็นเจ้าภาพกฐินพรุ่งนี้ ทำให้มันสมควรแก่สถานะของพระกรรมฐาน ทำให้มันสมสถานะของพระป่า คำว่า “พระป่า” เราเองวิตกกังวลกันอยู่ว่าข้อวัตรปฏิบัติของพระป่ามันจะเรียวแหลมไป มันจะไม่มีใครทรงไว้ๆ แล้วเราก็ไปตื่นกับโลก มันจะทรงไว้ได้อย่างไรล่ะ มันจะทรงไว้มันก็ทรงไว้แบบพระป่า แบบครูบาอาจารย์ของเราสิ

ครูบาอาจารย์ของเรา ดูสิ หลวงปู่มั่นท่านใช้บังสุกุลมาตลอด ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่าน ท่านบอกทำเพื่อจรรโลงศาสนา ไม่ได้ทำเพื่อมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ได้ทำเพื่อหัวใจของใครทั้งสิ้น ทำเพื่อธรรมวินัยอันนั้นไง ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พุทธานุญาตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาตไว้ให้ เราก็ทำตามนั้นน่ะ ถึงที่สุดแล้วถ้าเราจะระงับเสีย งดเว้นเสีย ไม่ทำก็ได้ ไม่ทำคือว่าเราก็ไม่เห็นตามนั้น ไม่เห็นแก่ลาภสักการะ ไม่เห็นแก่สิ่งใด แต่เราก็ยังเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการประพฤติปฏิบัติของเราอยู่ เราก็ทำของเรา

ไม่ตื่นโลก โลกจะเป็นอย่างไรให้เป็นเรื่องของโลกเขา แต่ทีนี้เพียงแต่เรื่องของโลก เพียงแต่เราอยู่กับโลกไง ถ้ามันสุดโต่งเกินไป เขาก็มองว่าแปลกๆ แต่ทำเสร็จแล้ว เราทำเคารพครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านแสวงหามา ท่านยืนหลักเกณฑ์นี้มา ส่งข้อวัตรต่อๆ กันมา เราทำสิ่งใด จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ พวกเราไม่มีชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณจนต้องรักษาชื่อเสียงของเราหรอก แต่เรารักษาชื่อเสียงของครูบาอาจารย์เราดีกว่า ครูบาอาจารย์เราท่านทำสืบต่อกันมา

แล้วเวลาพูด ถ้าครูบาอาจารย์ที่ดี ทำไมมันฝึกฝนลูกศิษย์ไม่ได้เลย ลูกศิษย์ที่จะเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไปข้างหน้าไม่เห็นมีสักคนหนึ่งเลย

เราทำตรงนี้ดีกว่า ทำเสร็จแล้ว ถึงเวลาแล้ว “นี่ลูกศิษย์ใคร ใครเป็นคนฝึกฝนมา” มันก็ทำให้เราได้ชื่นชม ให้ครูบาอาจารย์ของเราได้ว่า เออ! ท่านได้เสียสละของท่านมา แล้วท่านได้ฝึกฝนเรามา เรายังมีแบบอย่างมาทำให้เขาได้เห็นว่าครูบาอาจารย์เราท่านก็มีความสามารถไง ถ้าครูบาอาจารย์เราไม่มีความสามารถเลย หายหมดเลย ไปไหนแล้วก็ไปอยู่กับโลก โลกเป็นใหญ่เลย ทำสิ่งใดก็โลกเป็นใหญ่ไปทั้งหมดเลย เห็นไหม เรายืนหลักตรงนี้ ถ้ายืนหลักตรงนี้ ทำสิ่งใดแล้วไม่ต้องรักษาหน้า อย่ากลัว อย่ากลัวว่าจะเสียหน้า อย่ากลัวว่าจะเสียศักดิ์ศรี อย่ากลัว ศักดิ์ศรีเราไม่มี ศักดิ์ศรีเราก็ไม่สำคัญ หน้าตาเราอยู่ไหน หน้าตาก็ไปหาหมอ หมอทำศัลยกรรมนู่นน่ะ มันจะไปรักษาหน้า ไปผ่าตัดกันอยู่นู่นน่ะ

เราไม่ต้องไปรักษา เราทำเพื่อธรรมวินัย เราทำเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำแบบครูบาอาจารย์ของเรา ทำเรียบง่าย ทำแล้วเราภูมิใจ เราภูมิใจว่า ผู้ทรงศีล สงบระงับ ผู้ทรงศีลไม่ตื่น ไม่ตื่นโลก ไม่ตื่นสงสาร ไม่แตกตื่น แต่ถึงเวลาจะทำก็ทำเป็นไง ไม่ตื่น แต่ต้องทำได้ด้วย ไม่ใช่ว่าไม่ตื่นโลกไม่ตื่นสงสาร แต่ทำอะไรไม่เป็นเลยเหมือนกับขอนไม้ นั่นขอนไม้ ไม่ใช่คน

คนมีปัญญา แล้วคนมาบวชพระด้วย บวชพระ มีการศึกษาสูงส่งขนาดไหนนั่นสูงส่งทางโลก แต่ไม่เท่าทันกิเลสของตัว ไม่เท่าทันในหัวใจของตน เราเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะมีการศึกษามากน้อยขนาดไหน อย่าดูถูกดูแคลนกัน ทุกคนให้มีเมตตาต่อกัน ทุกคนให้ค้นคว้าในหัวใจของตน ถ้าค้นคว้าหาหัวใจของตน นั่นแหละ ตรงนั้นสำคัญที่สุด ถ้าเราค้นคว้าหาหัวใจของตนแล้ว เราทำที่นี่

ศักดิ์ศรีเกียรติศัพท์เกียรติคุณข้างนอกไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยว เราได้สละแล้ว เราเป็นผู้ถือศีลพรต เราได้วางแล้ว ถ้าเราวางสิ่งนั้นแล้วนะ เรามาอยู่ที่นี่กัน แล้วทำเพื่อให้เกียรติศัพท์เกียรติคุณของพระกรรมฐานเรา ทำให้เกียรติศัพท์เกียรติคุณของครูบาอาจารย์ที่ท่านได้วางรากฐานไว้ไง อย่าให้ท่านมองแล้วเศร้าใจ สั่งสอนมาขนาดนี้ ออกไปแล้วหายหมด มันไปไหนกันหมด เห็นไหม ท่านสั่งสอนเราไว้ แล้วเราทำเพื่อครูบาอาจารย์ ทำเพื่อวงกรรมฐาน ไม่ได้ทำเพื่อใครทั้งสิ้น ฉะนั้น ทำให้มันเรียบง่าย เรียบง่าย

จริงๆ นะ จะบอกให้ยกเลิกไปก็ยังได้ แต่ก็ยังเห็นใจกันอยู่ ยกเลิกกันไป ถ้ามันจะเป็นปัญหาเป็นอะไรก็ไม่ต้องทำเสีย ไม่ทำแล้วมันจะเป็นอาบัติไหม มันก็ไม่เป็น ไม่เป็นอาบัติ เรายกเลิกได้ แต่ทีนี้เราทำเพื่อให้เป็นการว่า ทำก็เป็น ไม่ทำก็เป็น ทำก็ทำให้เป็นได้ ไม่ทำก็ไม่เอาก็ได้ สรรพสิ่งได้ทั้งนั้นแหละ ผู้ที่จะมีสติปัญญารักษาตนเองให้รอดได้ ถ้ามีสติปัญญารักษาตนเองให้รอดได้

ทีนี้เวลาทำแล้วเราอยากจะทำเพื่อเชิดชูครูบาอาจารย์ที่ท่านได้ขวนขวายมา ท่านได้วางธรรมวินัย วางข้อวัตรปฏิบัติมา แล้วเราศึกษากันมาจนป่านนี้ ทุกคนก็สำคัญตนว่ามีการศึกษา มีปัญญากันทั้งนั้น ฉะนั้น ทำสิ่งใดแล้วทำเพื่อครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ทำเพื่อสนองกิเลสของตน เอวัง